หลายปีที่ผ่านมาเฟรนไชส์ Call of Duty ได้หยิบยกเอาช่วงเวลาและความขัดแย้งจากหลากหลายเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงโลกอนาคตและภาคล่าสุดที่ย้อนกลับมาใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งขณะที่แก่นหลักของตัวเกม Call of Duty Vanguard ก็ยังคงนำมาจากภาคก่อนๆที่อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าเซอร์ไพรส์อะไรมากมายตั้งแต่ตอนเปิดตัว แต่แฟนๆของแฟรนไชส์นี้ก็ต้องมาดูกันว่าตัวเกมจริงๆจะสามารถนำ Call of Duty ไปยังทิศทางใหม่ๆได้หรือเปล่าหรือยังคงเป็นแค่เกมรายปีที่เพิ่มอะไรนิดหน่อยใน Call of Duty Vanguard
เรื่องราวในแคมเปญหลักนั้นจะเล่าถึงช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจะโฟกัสไปที่หน่วยรบพิเศษ Task Force One ทีมที่รวบรวมเหล่าทหารจากหลากหลายสัญชาติเข้ามาไว้ด้วยกันเพื่อปฏิบัติภารกิจลับสุดยอดในการเข้าไปสืบหาข้อมูลของนาซี และเนื้อเรื่องหลักจะเปิดมาที่การเน้นไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Mission ของทีมแต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเรื่องรองไป เนื่องจากตัวเกมหันมาโฟกัสที่มาที่ไปของสมาชิกในทีมแทน แต่ก็สามารถนำเสนอตัวละครหลักในตัวออกมาได้น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Polina Petrova สไนเปอร์สาวชาวรัสเซียหรือตัวละครฝั่งนาซีเอง ที่โดยรวมก็ถือว่าพอใช้ได้แม้จะไม่ได้ถือว่าเป็นโหมดแคมเปญของ Call of Duty ที่เล่าเรื่องที่ดีที่สุดก็ตาม ด้วยการนำเสนอเรื่องราวจากหลากหลายมุมมองตลอดประมาณ 6-7 ชั่วโมงทำให้แคมเปญหลักจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆที่แต่ละช่วงจะโฟกัสไปที่ตัวละครแต่ละคนและประสบการณ์ในอดีตของพวกเขา เช่นส่วนของ Arthur Kingsley จะเล่าถึงเรื่องราวด้านหน้าฝั่งตะวันตกหรือส่วนของ Wade Jackson จะเป็นเหตุการณ์ในทะเลแปซิฟิกเป็นต้น ที่ตัวเกมยังใส่กิมมิกเพิ่มเข้ามาให้กับแต่ละตัวละครอย่างทักษะพิเศษเฉพาะเช่น Wade สามารถไฮไลท์ศัตรูและล็อคเป้าหมายพวกมันได้หรือ Arthur สามารถสั่งการหน่วยให้ทำสิ่งต่างๆได้เป็นต้นแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ส่งผลกับ Gameplay ให้แตกต่างอะไรกันมากนัก สำหรับ Call of Duty Vanguard
การเล่นหลักในโหมดเนื้อเรื่องนั้นยังคงเน้นไปที่ฉากยิงกันอย่างบ้าคลั่ง Action มันๆและสนามรบที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ก็มีบางจังหวะที่ตัดเปลี่ยนอารมณ์อยู่บ้างเช่นการลอบเร้นในการจัดการกับศัตรูแบบเงียบๆหรือฉากมืดๆที่มาพร้อมกับจั้มสแกแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรโดยตัวเกมยังคงเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่น่าจดจำมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในช่วงสตาลินกราดที่จะเล่าผ่าน Polina ส่วนสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดและเป็นบรรดา AI ของตัวละครต่างๆในเกม ตั้งแต่ฝั่งศัตรูที่เหมือนไม่มีสมองและขาดความสมจริงสุดๆไปจนถึง AI เพื่อนของเราที่ไม่ใช่แค่ไม่ได้ช่วยในการต่อสู้แต่บางครั้งยังสร้างความลำบากเพิ่มขึ้นอีก อย่างเดินมาบังทางปืนหรือเดินมาเบียดเราให้ตกจากแพลตฟอร์มหรือต้องออกจากที่กำบังจนโดนศัตรูยิง
สำหรับส่วนของ Multiplayer ใน Call of Duty Vanguard นั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่เกินความคาดหมายมากนักตั้งแต่การต่อสู้ที่เน้น Action ที่รวดเร็ว คลังแสงอาวุธและระบบการปรับแต่งตัวละคร ซึ่งในภาคนี้แทนที่เราจะได้เล่นเป็นทหารไร้นาม เราจะได้เลือกเล่นเป็นตัวละครที่กำหนดที่หลายๆตัวก็มาจากโหมดแคมเปญและแม้ว่าเมื่อเริ่มต้นอาจจะไม่ได้มีให้เลือกมากนักแต่ก็สามารถ Unlock เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆเมื่อเราทำ Mission สำเร็จ ตัวแปรสำคัญสำหรับเกม Multiplayer คือความหลากหลายของแผนที่และ Call of Duty Vanguard ก็ถือว่าเริ่มต้นมาได้อย่างดีตั้งแต่ช่วงที่เริ่มวางขายที่จะประกอบไปด้วย 16 แผนที่จากทุกๆโหมดและ 4 แผนที่ที่ Exclusive เฉพาะสำหรับโหมด Champion Hill แต่ละแผนที่เองก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างดีและมีเอกลักษณ์นอกจากนั้นตัวเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถปรับจูนจังหวะของการต่อสู้ได้ที่จะส่งผลต่อการเล่นในแต่ละแมทช์ทำให้ปรับแต่งหลายๆอย่างได้ตรงใจขึ้น
Zombie Mode ยังคงกลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งเดิมๆในอดีตด้วยคราวนี้เราจะมี Hub Zone ที่สามารถย้อนกลับมาระหว่างรอบเพื่ออัพเกรดสำหรับคลังแสงของเราได้และยังมี Passive Perks แบบต่างๆเช่นลดเวลาในการ Reload หรือเพิ่มพลังชีวิต ไปจนถึงโบนัส effect อย่างการทำให้ศัตรูเคลื่อนไหวช้าลงหรือสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้นและในแต่ละรอบเราจะเข้าประตูวาร์ปที่อยู่ใน Hub เพื่อไปยังโลเคชั่นของแผนที่ที่เราจำเป็นจะต้องทำ 1 ใน 3 เป้าหมายสำเร็จเช่นจัดการกับซอมบี้จนกว่าเวลาจะหมดตามหัวซอมบี้ลอยได้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้อาจจะสนุกแต่ก็แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นแถมยังรู้สึกเบื่อมากกว่าท้าทายซะอีกอาจจะเป็นเพราะในช่วงนี้เกมออกไม่มีทั้งบอสและความลับอื่นๆให้ตามเก็บ ทำให้ตัวเกมดูธรรมดาและซ้ำๆไปสักหน่อยที่อาจจะต้องรอทีมงาน Update Content เพิ่มเติมในอนาคต
งานด้าน presentation คือ หนึ่งสิ่งที่ Call of Duty ไม่เคยทำให้ผิดหวังที่เติบโตและพัฒนาขึ้น สล็อต มาได้ทันตามยุคสมัยและใน Call of Duty Vanguard ก็เช่นกันทั้งกราฟิกที่สวยสดงดงามทั้งในฉาก Gameplay และฉาก Cut Scene รายละเอียดของสิ่งต่างๆสภาพอากาศแสงและเงาที่มีผลต่อวัตถุในฉาก และภาคนี้บนเครื่องเล่นเจนใหม่ๆ ยังรองรับเฟรมเรตที่ 120 fps ที่ความละเอียดระดับ 4k อีกด้วยซึ่งทำออกมาได้ไหลสุดๆแม้จะมีบางจังหวะที่มีกระตุกให้เห็นอยู่บ้าง
งานด้านเสียงก็ยังคงก้องสนั่นหวั่นไหวและสะใจเหมือนอยู่ในสงคราม Ambient ของสมรภูมิและบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมและสำหรับ Controller ของ PS5 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆครบถ้วนทั้งการหน่วงไกปืนแรงถีบของการสั่นที่ช่วยเพิ่มความอิมเมอร์ซีฟได้อย่างดี
หลายปีที่ผ่านมาเฟรนไชส์ Call of Duty ได้หยิบยกเอาช่วงเวลาและความขัดแย้งจากหลากหลายเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงโลกอนาคตและภาคล่าสุดที่ย้อนกลับมาใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งขณะที่แก่นหลักของตัวเกม Call of Duty Vanguard ก็ยังคงนำมาจากภาคก่อนๆที่อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าเซอร์ไพรส์อะไรมากมายตั้งแต่ตอนเปิดตัว แต่แฟนๆของแฟรนไชส์นี้ก็ต้องมาดูกันว่าตัวเกมจริงๆจะสามารถนำ Call of Duty ไปยังทิศทางใหม่ๆได้หรือเปล่าหรือยังคงเป็นแค่เกมรายปีที่เพิ่มอะไรนิดหน่อยใน Call of Duty Vanguard โหมดต่างๆภายในเกม Call of Duty Vanguard Campaign Mode เรื่องราวในแคมเปญหลักนั้นจะเล่าถึงช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจะโฟกัสไปที่หน่วยรบพิเศษ Task Force One ทีมที่รวบรวมเหล่าทหารจากหลากหลายสัญชาติเข้ามาไว้ด้วยกันเพื่อปฏิบัติภารกิจลับสุดยอดในการเข้าไปสืบหาข้อมูลของนาซี และเนื้อเรื่องหลักจะเปิดมาที่การเน้นไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Mission ของทีมแต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเรื่องรองไป เนื่องจากตัวเกมหันมาโฟกัสที่มาที่ไปของสมาชิกในทีมแทน แต่ก็สามารถนำเสนอตัวละครหลักในตัวออกมาได้น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Polina Petrova สไนเปอร์สาวชาวรัสเซียหรือตัวละครฝั่งนาซีเอง ที่โดยรวมก็ถือว่าพอใช้ได้แม้จะไม่ได้ถือว่าเป็นโหมดแคมเปญของ Call of Duty ที่เล่าเรื่องที่ดีที่สุดก็ตาม ด้วยการนำเสนอเรื่องราวจากหลากหลายมุมมองตลอดประมาณ 6-7 ชั่วโมงทำให้แคมเปญหลักจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆที่แต่ละช่วงจะโฟกัสไปที่ตัวละครแต่ละคนและประสบการณ์ในอดีตของพวกเขา เช่นส่วนของ […]